โภชนาการที่ถูกต้องกับการรักษามะเร็ง
เมื่อทราบว่าเป็นโรคมะเร็ง หลายคนจะรู้สึกกังวลกับการรักษา ตลอดจนผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการรักษาหรือหลังการรักษา ซึ่งจริงๆ แล้วหากได้รับข้อมูลทางโภชนาการที่ถูกต้อง ก็จะสามารถช่วยลดผลข้างเคียงให้บรรเทาลงได้ ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่ทรุดลงไปมากกว่าที่ควร อย่างไรก็ตามบทความนี้เกิดจากความตั้งใจที่จะให้ข้อมูลทางโภชนาการที่มีผลงานวิจัยทางการแพทย์รองรับ และมีการใช้จริง เพื่อให้ผู้่ป่วยที่อยู่ในระหว่างการรักษาโรคมะเร็งได้มีข้อมูลที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และสามารถดูแลรักษาสุขภาพตัวเองด้วยอาหารที่ถูกต้อง
- ทำความเข้าใจการรักษา 3 วิธี
- ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- วิธีดูแลอาหารเพื่อลดผลข้างเคียงสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
- อาหารเสริมที่ส่งผลดีกับการรักษามะเร็ง
วิธีรักษามะเร็งในส่วนต่างๆ ของร่างกายนั้น ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่าจะเลือกใช้วิธีรักษาแบบไหน ซึ่งแต่ละวิธีนั้น จะมีผลข้างเคียงจากการรักษาที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
เข้าใจการรักษา 3 วิธี
1. เคมีบำบัด (Chemotherapy)
คือการควบคุมหรือทำลายเซลล์มะเร็ง โดยใช้ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง และอาจมีผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อปกติ
ระยะเวลาในการรักษาทั่วไป : ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรคมะเร็ง ตลอดจนการตอบสนองของมะเร็งต่อตัวยา มักให้เป็นชุด ชุดละ 1 – 5 วัน ห่างกัน 3 – 4 สัปดาห์
2. รังสีรักษา (Radiation therapy)
คือการรักษาโดยใช้รังสีที่มีพลังงานสูง เช่น รังสีแกมม่า รังสีเอ็กซ์ หรือ อนุภาคที่มีพลังงานสูง เช่น โปรตอน อิเลคตรอน หรือ นิวตรอน โดยฉายรังสีในบริเวณที่เป็นโรคและครอบคลุมไปถึงต่อมน้ำเหลืองที่อาจมีโรคแพร่กระจายไปด้วย รังสีจะทำหน้าที่ฆ่าเซลล์ที่เติบโตเร็ว เช่น เซลล์มะเร็ง แต่เซลล์ในร่างกายที่แบ่งตัวเร็ว เช่น เซลล์เยื่อบุลำไส้ เซลล์ผิวหนัง ก็มีโอกาสถูกทำลายด้วยเช่นกัน
ระยะเวลาในการรักษาทั่วไป : ฉายรังสี วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 5 – 15 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จนครบ ได้ปริมาณรังสีตามที่แพทย์กำหนด (ประมาณ 10 – 35 ครั้ง)
3. การผ่าตัด (surgery)
มักทำในผู้ป่วยที่โรคมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่ตำแหน่งเริ่มต้น (มะเร็ง ระยะที่ 1) หรือในบางกรณีเพียงกระจายไปเนื้อเยื่อข้างเคียงหรือลุกลามทะลุผ่านอวัยวะที่เป็นโพรง (มะเร็ง ระยะที่ 2) เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มักมีการรักษาเสริมด้วยรังสีรักษาหรือเคมีบำบัดซึ่งมีความสำคัญและช่วยเสริมให้ผลการผ่าตัดได้ผลดียิ่งขึ้น
ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงจากการรักษา ขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล จึงไม่ใช่ทุกอาการที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง ยาที่ใช้ การเข้ากันของยาที่ใช้ ตลอดจนการทานอาหารที่ถูกต้องและเพียงพอ
จะเห็นได้ว่า ผลข้างเคียงจากการรักษาทั้ง 3 วิธี มีผลกับการทานอาหาร เพราะเมื่อมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือมีแผลอักเสบในปาก ก็จะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง น้ำหนักลดลง สูญเสียกล้ามเนื้อ ภูมิคุ้มกันต่ำลง เม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ำ ในขณะเดียวกัน เซลล์มะเร็งเอง ก็จะมีการการหลั่งสารที่ทำให้มีการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายเพิ่มขึ้น โปรตีนก็จะถูกดึงจากกล้ามเนื้อออกมาเผาผลาญมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ป่วยโรคมะเร็งจึงมีความต้องการสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนมากกว่าคนทั่วไป จนเกิดเป็นความเชื่อที่ว่า “เซลล์มะเร็งกินโปรตีน” จึงมีหลายคนงดโปรตีน ซึ่งในทางการแพทย์ จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะถึงแม้จะไม่ทานโปรตีน ร่างกายก็จะไปสลายโปรตีนในกล้ามเนื้อออกมาใช้งานอยู่ดี ในที่สุดจะยิ่งทำให้ร่างกายทรุดโทรมมากขึ้น ขาดสารอาหาร จนไม่สามารถทนต่อการรักษาได้ หรือ ไม่มีโปรตีนเพียงพอที่จะสร้างเม็ดเลือดขาว ต้องเลื่อนการรักษา (หากเม็ดเลือดขาวต่ำเกินไปแพทย์จะเลื่อนการรักษาออกไป และจะแนะนำให้ผู้ป่วยทานอาหารให้มากขึ้นเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มปริมาณสูงขึ้น) ซึ่งหากเลื่อนการรักษาออกไป อาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นระหว่างนั้นได้
จากผลงานวิจัยพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งหลายคน เสียชีวิตเกี่ยวกับโภชนาการดังนี้
สาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
• 50% เสียชีวิตจากการทานอาหารไม่ได้
• 20% เสียชีวิตจากการขาดสารอาหารมากกว่าโรคมะเร็งกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมะเร็ง มักมีน้ำหนักตัวลดลง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ผลการรักษา และอัตราการรอดชีวิต
วิธีดูแลอาหารเพื่อลดผลข้างเคียง
อาหารเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยควรรับประทานอาหารให้เหมาะสมและได้รับสารอาหารเพียงพอ ก่อนการรักษา ระหว่างและหลังการรักษา จะช่วยให้ผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น ลดอาการแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคได้
- อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ เนื้อปลา นม ถั่ว ชนิดต่างๆ เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งมีอัตราการสลายโปรตีนเพิ่มขึ้น การได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นและโปรตีนอย่างเพียงพอ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญในผู้ป่วยมะเร็ง
- อาหารที่ให้พลังงานสูง เนื่องจากผู้ป่วยมักกินอาหารได้ในปริมาณน้อย
- กินผักและผลไม้ให้ครบวันละ 5 สี ผักและผลไม้ถือจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติในการป้องกันไม่ให้มะเร็งลุกลามได้ (ควรล้างให้สะอาด) เช่น ดอกกะหล่ำ มะเขือเทศ คะน้า บล็อคโคลี แขนงผัก ผักโขม กะหล่ำปลีสีม่วง ส้ม ถั่ว แก้วมังกรสีชมพูมะม่วง (สุก-ดิบ) เป็นต้น
- ทานไขมันจากปลา เนื่องจากน้ำมันปลามีกรดโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่มีน้ำหนักตัวน้อย และ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันจากสัตว์ที่เป็นไขมันอิ่มตัวมาก เช่น น้ำมันหมู หนังติดมัน เพราะสามารถถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งได้
- ทานอาหารมื้อใหญ่ในช่วงเช้า และแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายๆ มื้อ จะช่วยให้ทานอาหารได้มากขึ้น
อาหารเสริมที่ส่งผลดีต่อการรักษามะเร็ง
มีผลงานวิจัย พบว่า หากผู้ที่เข้ารับการรักษามะเร็งได้รับอาหารที่เหมาะสม มีสารอาหารที่เพียงพอ อาจช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่รักษามะเร็งดีขึ้น เพราะจะส่งผลดีดังนี้
1. ได้รับสารอาหารเพียงพอ คนที่เป็นมะเร็ง ร่างกายจะอักเสบ ทำให้เเผาผลาญโปรตีนและเผาผลาญพลังงานสูงกว่าคนปกติ จึงควรได้รับอาหารเสริมเพิ่มเติมให้เพียงพอต่อวัน
2. ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวในเลือดเพิ่มขึ้น สามารถเข้ารับการรักษา cycle รอบถัดไปได้โดยไม่ต้องเลื่อนการรักษา ผู้ป่วยจะไม่ต้องทนทุกข์ใจ หรือต้องรอเวลา เพราะหากต้องเลื่อนการรักษาออกไป ก็อาจจะมีความเสี่ยงที่เซลล์มะเร็งจะพัฒนาและเจริญเติบโตในช่วงที่ถูกเลื่อนไป
3. ช่วยลดอาการอักเสบในช่องปาก (mucositis) ในกลุ่มที่ฉายแสงร่วมกับได้เคมีบำบัด ซึ่งหากมีอาการนี้ จะทำให้ผู้ป่วยทรมานและทำให้ทานอาหารลำบาก ส่งผลให้สุขภาพทรุดโทรมลง การได้รับอาหารเสริมเฉพาะทาง จะช่วยลดอาการอักเสบ ป้องกันไม่ให้อาการของโรครุนแรงได้
งานวิจัยสรรพคุณถั่งเช่ากับโรคมะเร็ง
สรรพคุณที่สำคัญของถั่งเช่า ซึ่งเป็นที่ทราบกันมานานแล้วในประเทศจีนก็คือ การใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง ซึ่งกำลังเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นในวงการแพทย์ทางเลือกในโลกตะวันตกในด้านศักยภาพในการเป็นยารักษามะเร็งชนิดใหม่ เนื่องจากในถั่งเช่า ประกอบไปด้วยสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) และสารคอร์ไดซิพิน (Cordycepin) ซึ่งสารสารคอร์ไดซิพินพบได้ในถั่งเช่าเท่านั้น ในปัจจุบันมีแพทย์หลายท่านจากทุกมุมโลก ได้แนะนำให้คนไข้รับประทานถั่งเช่า ควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เคมีบำบัดหรือการฉายรังสี หรือทางเลือกในการรักษามะเร็งโดยวิธีอื่นๆ เนื่องจากถั่งเช่าสามารถหยุดการเจริญเติบโตของเซลส์มะเร็งอย่างเห็นได้ชัด ในบางกรณีนอกจากทำให้เนื้องอกขนาดเล็กหายไปได้ ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของคนไข้แข็งแรงขึ้น สามารถทนต่อความเครียดจากการฉายรังสีหรือทำเคมีบำบัดได้ด้วย ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการรับประทานถั่งเช่าจัดเป็นภูมิคุ้มกันที่สองซึ่งทำให้ร่างกายมนุษย์สามารถจดจำ กำจัด และป้องกัน จุดที่เป็นมะเร็งทั่วร่างกายได้
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
– Health Channel Magazine Special Book (“ถั่งเช่า” สุดยอดยาอายุวัฒนะ)
– nestlehealthscience-th.com
– nutritionexpertise.com