โรคยอดฮิตของคนไทย คงหนีไม่พ้นโรคที่เกิดจากอาหารการกินที่ไม่ถูกสุขลักษณะ และไม่ถูกหลักโภชนาการ รวมถึงการทานอาหารที่ไม่มีความสมดุล ทานบางอย่างมากเกินไป พอสะสมนานวันเข้า สุดท้ายอาจเป็นโรคไตได้ แต่นอกจากอาหารเค็มแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่คนเป็นโรคไต หรือที่กำลังฟอกไตอยู่ควรระวัง
ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ตัวอันตรายสำหรับผู้ป่วยโรคไต
นอกจากโซเดียมที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคความดันโลหิตสูง และโรคไตแล้ว ยังมีฟอสฟอรัสอีกตัวหนึ่งที่จะทำให้อาการของโรคไตแย่ลง เพราะเมื่อไตของเรากำลังเสื่อม ความสามารถในการกรองเอาสารอาหารประเภทฟอสฟอรัสออกจากร่างกายก็จะน้อยลงไปด้วย เพราะฉะนั้นก็แปลว่า ยิ่งเราทานอาหารที่มีฟอสฟอรัสเข้าไปมากเท่าไร มันก็สะสมอยู่ในร่างกายมากขึ้นเท่านั้น ไม่ยอมออกไปไหนเสียที ทั้งที่จริงๆ แล้ว คนที่ไตทำงานปกติ ไตจะกรองเอาสารอาหารที่เกินความจำเป็นต่อร่างกายออกให้ แต่ที่เป็นปัญหาคือฟอสฟอรัสไม่ยอมออกไปด้วย ก็เลยทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
ฟอสฟอรัส ทำร้ายร่างกายผู้ป่วยโรคไตได้อย่างไร?
สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่กำลังอยู่ในภาวะฟอสฟอรัสในเลือดสูง มีวิธีสังเกตอาการง่ายๆ คือ ผิวหนังมีสีดำคล้ำมากขึ้น มีอาการคันยิบๆ ตามตัวจนรู้สึกรำคาญ หรือในบางรายที่มีอาการรุนแรง อาจทำให้กระดูกเปราะ หรือหักได้ง่าย
นอกจากนี้อาจมีอาการต่อมพาราไทรอยด์โต และซ้ำร้าย อาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่ใช้ในการฟอกเลือด สำหรับคนที่กำลังฟอกไตอยู่ได้
งดฟอสฟอรัสไปเลยดีไหม?
ฟอสฟอรัส ไม่ใช่สารอาหารที่ให้แต่โทษเพียงอย่างเดียว เพราะจริงๆ แล้ว ฟอสฟอรัสเป็นเกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเรา เป็นอันดับสอง รองจากแคลเซียมเลยก็ว่าได้ และยังช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดต่างๆ ได้อีกด้วย แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต ควรจำกัดการทานอาหารที่มีฟอสฟอรัส เพื่อไม่ให้มีปริมาณฟอสฟอรัสสะสมอยู่ในร่างกายมากจนเกินไป
ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ทำงานร่วมกับแคลเซียม มีหน้าที่เป็นโครงสร้างของกระดูกและฟัน หน้าที่อื่นๆ เช่น กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ปกติเมื่อฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย ส่วนหนึ่งจะถูกดูดซึม อีกส่วนหนึ่งที่เหลือในเลือดจะถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ประสิทธิภาพในการขับฟอสฟอรัสจะลดลง ซึ่งทำให้เกิดการคั่งของฟอสฟอรัสในเลือด
- ระดับฟอสฟอรัสปกติในเลือด 3.5 – 5.5 mEq/L
- ระดับฟอสฟอรัสต่ำในเลือด < 3.5 mEq/L เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ระดับฟอสฟอรัสสูงในเลือด > 5.5 mEq/L คันตามผิวหนัง มีก้อนแคลเซียมเกาะตามเนื้อเยื่อ หลอดเลือดแดงแข็ง ภาวะต่อมพาราไทรอยด์โต กระดูกบางและเปราะ
หมายเหตุ เมื่อระดับฟอสฟอรัสในเลือดอยู่ที่ 5.0- 5.4 mEq/L ต้องเริ่มระมัดระวังการบริโภคอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เนื่องจากระดับฟอสฟอรัสจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง
- นอกจากอาหารที่มีรสจัดแล้ว ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่
- เนื้อสัตว์ติดมัน
- ไข่แดง
- ถั่วต่างๆ รวมถึงธัญพืชจำพวก งาขาว งาดำ
- ข้าวกล้อง
- ผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น โยเกิร์ต ชีส ไอศรีมที่ทำจากนม
- บะหมี่
- ขนมเบเกอรี่ต่างๆ
- ขนมปังโฮลวีต
- ขนมไทยที่ทำจากไข่แดง เช่น ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด
- ผักสีเข้ม เช่น บล็อกโคลี่ คะน้า แครอท ผักโขม โหระพา กะเพรา ขี้เหล็ก ชะอม มะเขือเทศ ฟักทอง
- คัสตาร์ด สังขยา ขนมหม้อแกง
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชาเขียวใส่นม กาแฟ โกโก้/ช็อคโกแลต น้ำอัดลม
อาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรทาน
มองหาอาหารที่มีสีจืดๆ สีไม่เข้ม
- ปลา
- ไข่ขาว
- น้ำเต้าหู้ที่ทำสดๆ น้ำนมข้าวที่ไม่ปรุงแต่ง
- เนื้อหมู ไก่ (ที่ไม่ติดมัน)
- วุ้นเส้น เส้นหมี่ เส้นเล็ก
- ข้าวขาว
- น้ำขิง
- ผักสีอ่อน เช่น ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ฟัก มะเขือเปราะ มะเขือยาว มะระ ผักบุ้ง (การนำไปลวก หรือต้มก่อนทาน ก็จะช่วยลดฟอสฟอรัสในผักได้)
- น้ำหวาน
- ชาไม่ใส่นม
- เมอแรงค์ (ทำจากไข่ขาว) ซาหริ่ม ลอดช่อง ขนมชั้น วุ้น
อย่างไรก็ตามถึงแม้อาหารเหล่านี้จะทานได้ แต่ก็ไม่ควรทานในปริมาณที่มากจนเกินไป ควรทานอาหารให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซากจำเจเหมือนเดิมในทุกๆ มื้อ ทุกๆ วัน เพื่อให้ได้สารอาหารที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ต้องทานยาจับฟอสฟอรัส ควรทานพร้อมมื้ออาหารอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสได้เป็นอย่างดี ถ้าเราสามารถควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสในเลือดได้แล้ว อาการโรคไตของเราก็จะดีขึ้นตามลำดับ โรคไตสู้ได้ ไม่ต้องกลัวค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- kidneymeal.com
- haamor.com
- ภาพจาก iStock