จากสถานการณ์ในประเทศไทยตอนนี้ มีทั้งปัญหาเรื่องฝุ่น Pm2.5 ซึ่งเป็นมลพิษในอากาศ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากสูดดมเข้าไปเป็นจำนวนมาก และ ปัญหาเรื่อง “เชื้อไวรัสโคโรนา” (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคปอดบวมอู่ฮั่น) ที่มีต้นตอมาจากประเทศจีน และกำลังแพร่ระบาดไปอีกหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยของเรา ไวรัสโคโรนา เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่คล้ายกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาจะมีอาการหายใจเหนื่อย หายใจลำบาก มีไข้สูง อาจเกิดภาวะปอดบวมและมีโรคแทรกซ้อน จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น การป้องกันตัวเองจากทั้งเชื้อไวรัสโคโรนาและปัญหาฝุ่นควัน ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง อันดับแรกที่สามารถป้องกันได้นั่นคือ การใส่แมส หรือ หน้ากากอนามัย ทุกครั้งเมื่อต้องออกจากบ้าน หรือต้องไปอยู่ในที่ที่มีคนแออัด คำถามคือ แล้วเราจะเลือกใช้หน้ากากแบบไหนดี ที่จะสามารถป้องกันได้ทั้งฝุ่นและเชื้อไวรัส ?
หน้ากากอนามัยแต่ละแบบ สามารถป้องกัน Pm2.5 และ เชื้อไวรัสโคโรนา ได้หรือไม่?
หน้ากาก N95
เป็นหน้ากากที่สามารถป้องกันได้ทั้งเชื้อไวรัสโคโรนา และ ฝุ่น Pm2.5 ซึ่งสามารถกันได้มากถึง 97.59% เนื่องจากฝุ่น Pm2.5 มีอนุภาคที่เล็กมากกว่า 2.5 ไมครอน ในขณะเดียวกันเชื้อไวรัสโคโรนามีอนุภาคเล็กมากกว่านั้นอีก ดังนั้น หน้ากาก N95 จึงตอบโจทย์ในการป้องกันมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามมีข้อเสียตรงที่มีราคาสูงและหาซื้อยาก
หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 1 ชิ้น
เป็นหน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่น Pm2.5 ได้เพียง 66.37% เท่านั้น แต่เหมาะสำหรับใส่เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งสามารถป้องกันได้ถึง 80% เลยทีเดียว ข้อดีของหน้ากากแบบนี้คือ หาซื้อได้ง่ายกว่าแบบ N95 และมีจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไปในราคาที่ไม่แพง
หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 2 ชิ้น
หากไม่สามารถซื้อหน้ากากแบบ N95 ได้ ก็สามารถใส่หน้ากากทางการแพทย์ 2 ชิ้นซ้อนกันได้เช่นกัน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่น Pm2.5 และเชื้อไวรัสโคโรนาได้ถึง 89.75% เลยทีเดียว
หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ + กระดาษทิชชู่พับครึ่ง 1 แผ่น
ในการใส่หน้ากากทางการแพทย์แบบธรรมดานั้น สามารถใช้ทิชชู่ที่สะอาด นำมาพับครึ่ง และใส่ร่วมไปกับหน้ากากได้ ซึ่งแบบนี้จะสามารถป้องกันฝุ่น Pm2.5 และ เชื้อไวรัสโคโรนาได้ถึง 98.05% เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยป้องกันฝุ่นและเชื้อโรคได้ในงบที่ประหยัดขึ้น และที่สำคัญหาซื้อได้ง่ายกว่า N95
หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ + กระดาษทิชชู่พับครึ่ง 2 แผ่น
การใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ร่วมกับกระดาษทิชชู่สะอาด 2 แผ่นพับครึ่งนั้น สามารถป้องกันฝุ่น Pm2.5 และเชื้อไวรัสได้เพียง 67.04% เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์กับกระดาษทิชชู่สะอาด 1 แผ่น ซึ่งความหนาของกระดาษทิชชู ทำให้หน้ากากไม่แนบสนิทกับใบหน้า ทำให้มีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นและเชื้อโรคลดลง ดังนั้นฝุ่นละอองและเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเล็ดลอดผ่านหน้ากากเข้าสู่ร่างกายของเราได้
สรุป
หน้ากาก N95 นั้นสามารถป้องกันได้ทั้งเชื้อไวรัสโคโรนา และ ฝุ่น Pm2.5 อย่างไรก็ตามทางการแพทย์ออกมาแนะนำว่า ผู้ที่กำลังเป็นหวัด หรือ มีไข้, ไอ, จาม, มีน้ำมูก นั้นไม่ควรใช้ เพราะจะทำให้หายใจลำบาก หายใจติดขัดมากขึ้น เนื่องจากหน้ากากแนบติดกับใบหน้า ทำให้หายใจได้ยาก ซึ่งจะทำให้เชื้อไวรัสสามารถเจริญเติบโตได้ง่ายกว่า
ซึ่งแพทย์ได้แนะนำเพิ่มเติมว่าสามารถใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาได้ เนื่องจากหน้ากากทางการแพทย์นั้นมีเยื่อชั้นกรองมาตรฐานถึง 3 ชั้น สามารถป้องกันเชื้อโรค, เชื้อไวรัส, แบคทีเรีย, มลพิษหรือละอองของเหลวจากภายนอก เข้ามาสู่ร่างกายได้ และในขณะเดียวกันยังช่วยดูดซับสารคัดหลั่งหรือความชื้นที่มาจากตัวผู้ใช้เอง เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ผู้ที่กำลังเป็นหวัดก็สามารถใส่หน้ากากแบบนี้ได้ เพราะจะทำให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น
วิธีใช้หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง
- ล้างมือให้สะอาดก่อนสวมใส่ทุกครั้ง
- สวมหน้ากากอนามัยให้ครอบทั้งปากและจมูก โดยหากเป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ให้นำด้านที่มีสีฟ้า หรือ สีเขียวออกด้านนอก
- วางขอบลวดขอบบนอยู่บนสันจมูก รอยจีบของหน้ากากพับคว่ำลง
- กดแถบลวดขอบบนให้รับกับสันจมูก ขยับหน้ากากให้แนบชิดไปกับใบหน้าโดยไม่มีช่องว่างเหลือด้านข้าง
- หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ควรใช้วันต่อวัน เมื่อใช้แล้วเก็บใส่ถุงทิ้งขยะให้ถูกที่ สำหรับหน้ากากอนามัยแบบ N95 สามารถใช้ซ้ำได้
- ในกรณีที่หน้ากากโดนสารคัดหลั่ง หรือ ของเหลวจากภายนอก เช่น น้ำมูก หรือ น้ำลาย ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากประเภทใดก็ตาม
- ไม่ควรใช้หน้ากากอนามัยร่วมกับผู้อื่น
ในช่วงเวลาที่มีปัญหาทั้ง ฝุ่น Pm2.5 และ เชื้อไวรัสโคโรนา ระบาดเช่นนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนควรหาหน้ากากอนามัยมาสวมใส่ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสระหว่างคนสู่คนได้ และยังเป็นการลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปในอากาศได้อีกด้วย อย่าลืมป้องกันตัวเองกันด้วยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก priceza.com