โคเลสเตอรอล

หลายคนที่มีรูปร่างสวยเพรียว หรือ รูปร่างผอม เมื่อตรวจร่างกายกลับพบว่ามีไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดความสงสัยว่า ตรวจผิดหรือเปล่า มันไม่น่าเป็นไปได้ ผู้เขียนอยากเรียนว่า คนที่มีรูปร่างสวยเพรียว หรือ คนรูปร่างผอมก็มีไขมันในเลือดสูงได้เช่นเดียวกัน … ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านก่อนว่า การที่เราบอกว่าคนๆ หนึ่งว่ามีรูปร่างสวยเพรียว หรือ ผอมนั้น เป็นการประเมินด้วยสายตาและเป็นการมองจากรูปลักษณ์ภายนอก ว่าคนๆ นั้นน่าจะมีไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่มาก แต่ไขมันในเลือดเป็นส่วนของไขมันที่ละลายอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งเป็นคนละส่วนกับไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ดังนั้นคนอ้วนจึงไม่จำเป็นต้องมีไขมันในเลือดสูงเสมอไป ในขณะเดียวกัน คนผอมก็อาจจะมีไขมันในเลือดสูงได้

ไขมันในร่างกายประกอบด้วย ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ไขมันในหลอดเลือด และไขมันในช่องท้อง

ไขมันเหล่านี้มาจากไหน?

ไขมันในร่างกายของเรามาจาก 2 แหล่งด้วยกัน คือ

  1. จากการที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง
  2. จากอาหารที่บริโภค

ไขมันจะถูกนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงาน นำไปสร้างน้ำดีเพื่อช่วยในการดูดซึมอาหารไขมัน นำไปสร้างฮอร์โมน และใช้เป็นส่วนประกอบในการสร้างเนื้อเยื่อของเซลล์

ไขมันในเลือด อยู่ในรูปไลโปโปรตีน(Lipoprotein) คือ เป็นสารประกอบของโปรตีนและไขมัน ซึ่งไลโปโปรตีนที่อยู่ในเลือดสามารถผสมเข้ากันกับส่วนประกอบต่างๆ ของเลือดได้ ส่วนของไขมันไลโปโปรตีนมีทั้งที่เป็น ไตรกลีเซอไรด์ โคเลสเตอรอล กรดไขมันอิสระ และ ฟอสโฟลิปิด(Phospholipid) ไขมันแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น

โคเลสเตอรอล (cholesterol) : เป็นไขมันที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ และได้รับจากอาหารที่รับประทาน ไขมันชนิดนี้เป็นสารตั้งต้นที่นำไปสร้างน้ำดี เพื่อช่วยในการดูดซึมอาหารไขมันและยังใช้สร้างฮอร์โมนบางชนิด

ไตรกลีเซอไรด์ (triglycerides) : เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ และได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอาหารที่มีรสหวาน หรือ อาหารจำพวกแป้ง ไขมันชนิดนี้เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสะสมเอาไว้ใช้ ฟอสโฟลิปิดเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ส่วนกรดไขมันอิสระถือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย

ไลโปโปรตีนแบ่งตามความหนาแน่นของโมเลกุลได้เป็นหลายชนิด แต่ที่เรารู้จักกันดี คือ

  • วีแอลดีแอล (VLDL – Very low density lipoprotein) เป็น ไลโปโปรตีนที่สร้างจากตับ ประกอบด้วยไตรกลีเซอไรด์ 45-60% จึงมีหน้าที่นำไตรกลีเซอไรด์ไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงาน โดยเอมซัยม์ LPL จะสลาย ไตรกลีเซอไรด์ใน VLDL ให้เป็นกรดไขมันอิสระที่พร้อมจะถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ภาวะ VLDL ในเลือดสูงก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นกัน
  • แอลดีแอล ( LDL – Low density lipoprotein) เป็น ไลโปโปรตีนที่มีโคเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 60% ไลโปโปรตีนชนิดนี้จึงมีหน้าที่นำเอาโคเลสเตอรอลไปยังเซลล์ที่ต้องการใช้โคเลสเตอรอล แต่หากมีปริมาณไขมันชนิดนี้ในเลือดสูงจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และหากมีโรคหัวใจหรือโรคเบาหวานร่วมด้วย ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดจะเพิ่มขึ้น
  • เอชดีแอล (HDL– High density lipoprotein ) เป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย มีหน้าที่นำโคเลสเตอรอลที่สะสมตามผนังหลอดเลือดหรือที่เนื้อเยื่ออื่นๆ ไปทำลายที่ตับ ดังนั้นถ้าระดับ HDL ในเลือดสูง จะทำให้อัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง การออกกำลังกายทำให้ค่าHDL ในเลือดเพิ่มมากขึ้นได้

จะเห็นได้ว่าร่างกายมีทั้งกระบวนการสร้างและย่อยสลายไขมัน ตลอดจนกระบวนการนำไขมันที่สะสมในบริเวณที่ไม่สมควรกลับเข้าสู่ตับ แต่ภาวะไขมันในเลือดสูงก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ปัจจุบันภาวะไขมันในเลือดสูงจัดเป็นหนึ่งภาวะของกลุ่มอาการอ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome ซึ่งประกอบด้วย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และ ภาวะไขมันในเลือดสูง) ฉะนั้นคนอ้วน (ผู้ชายที่มีเส้นรอบเอวมากกว่าหรือ เท่ากับ 90 เซนติเมตร หรือ สตรีที่มีเส้นรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 80 เซนติเมตร) ก็มีโอกาสเกิดภาวะไขมันในเลือดสูงได้มากกว่า ทั้งนี้เพราะไขมันในช่องท้องจะทำให้เกิดกลไกการเผาผลาญน้ำตาลที่ผิดปกติมากกว่าไขมันที่กระจายอยู่บริเวณอื่นในร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ จึงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น และเมื่อเป็นโรคเบาหวานก็จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อภาวะไขมันในเลือดสูงและโรคความดันโลหิตสูงด้วย

ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง เกิดจากการสะสมของน้ำตาลที่แปรสภาพเป็นไขมัน แล้วไปเกาะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือที่เห็นเป็นชั้นหนาๆ ของไขมันบริเวณหน้าท้องนั่นเอง ไขมันชั้นนี้ไม่ส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงมากนัก เพราะเป็นไขมันที่สามารถกำจัดได้ง่ายกว่าไขมันในส่วนอื่นๆ ชองร่างกาย

ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ก็เป็นไขมันใต้ชั้นผิวหนังเช่นเดียวกัน เกิดจากการสะสมตัวของสารอาหารประเภทไขมันในอาหารที่ร่างกายเผาผลาญเป็นพลังงานไม่หมด ทำให้ไปเกาะอยู่ตามบริเวณระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะภายในช่องท้องในลักษณะแทรกตัวอยู่ตามเนื้อเยื่อของเซลล์ต่างๆ ฉะนั้นเมื่อเรามองจากภายนอกแล้วเห็นเป็นหน้าท้องยื่นออกมา แต่ถ้ากลองอัลตร้าซาวด์ดูจะพบว่าอวัยวะภายในถูกห่อหุ้มไว้ด้วยถุงไขมันสีเหลือง

ไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่อันตรายมากเมื่อเทียบกับไขมันบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย เพราะไขมันชนิดนี้จะสลายตัวเป็นกรดไขมันอิสระสามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือดไปสะสมตามอวัยวะต่าง ๆ เช่นการไปสะสมที่ตับจนเกิดภาวะไขมันพอกตับ เป็นต้น นอกจากนี้ไขมันในช่องท้อง ยังเผาผลาญออกให้หมดยากกว่าไขมันในบริเวณอื่นอีกด้วย ผลเสียที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือกรดไขมันอิสระในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นจะไปยับยั้งกระบวนการเผาผลาญของกลูโคสที่กล้ามเนื้อ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความดันโลหิตสูง

จากชนิดต่างๆ ของไขมันจะเห็นได้ว่า การที่เราจะบอกว่าคนๆ หนึ่งผอมหรืออ้วน ประเมินจากการสะสมของไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง แต่การจะบอกว่าคนๆ หนึ่งมีไขมันในเลือดสูงหรือไม่นั้น ไม่สามารถประเมินด้วยตาเปล่าได้ ต้องได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการถึงจะทราบว่ามีไขมันในเลือดสูงหรือไม่ นั่นคือ คนผอม หรือคนหุ่นดีก็มีภาวะไขมันในเลือดสูงได้เช่นเดียวกันกัน

ที่มา : รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.ศรีจันทร์ พรจิราศิลป์ (สอบทานความสมบูรณ์และถูกต้อง : รศ.ดร.ภก.ศุภโชค มั่งมูล) ภาควิชาเภสัชวิทยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เรียบเรียบโดย : ถั่งเช่ามเกษตร.com

จริงหรือไม่? คนผอมเพรียว ก็มีไขมันในเลือดสูงได้