พริก ประโยชน์

คนไทยนิยมทานอาหารรสจัดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งเผ็ดก็ยิ่งอร่อย พริก จึงกลายเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย เพราะถ้าไม่มีพริก ก็คงจะปรุงอาหารให้จัดจ้านถึงใจกันไม่ได้แน่ๆ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า พริกไม่ได้มีดีแค่ความเผ็ดและทำให้อาหารมีรสชาดดีขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีผลดีต่อสุขภาพของเราอีกด้วย

ต้นกำเนิดของพริกมาจากที่ไหน?

พริกถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อราว 7,000 ปีก่อน ที่อเมริกาใต้และอเมริกากลาง โดย คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส หลังจากนั้นได้มีการนำพริกมาปลูก และเผยแพร่ไปทั่วทวีปยุโรป ก่อนจะแผ่ขยายไปยังทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยของเรา ก็รู้จักและคุ้นเคยกับการปลูกพริกมาตั้งแต่สมัยโบราณ

พริกในประเทศไทยของเรานั้น มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 831 สายพันธุ์ และแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ พริกขี้หนูเม็ดเล็ก พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ และ พริกชี้ฟ้า

ความเผ็ด ถือเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของพริก เนื่องจากในพริกประกอบด้วยสารแคปไซซิน (Capsicin) ซึ่งเป็นสารที่ให้ความเผ็ดร้อน โดยสารชนิดนี้จะกระจายอยู่ในทุกส่วนของพริก รกหรือไส้ของพริกคือส่วนที่เผ็ดที่สุด ในขณะที่เมล็ด และเปลือก ที่คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเป็นส่วนที่เผ็ดที่สุด กลับมีสารแคปไซซิน (Capsicin) อยู่น้อยกว่ามาก

สารแคปไซซิน (Capsicin) นี้ นอกจากจะดีต่อสุขภาพของเราแล้ว ยังมีคุณสมบัติพิเศษสามารถทนความร้อนได้ดี ทำให้ไม่ว่าจะผ่านกระบวนการทำให้สุก หรือตากแดดจนแห้ง ก็ยังคงความเผ็ดร้อนไว้ได้ดังเดิม

การวัดค่าความเผ็ดของพริกทำอย่างไร?

หน่วยวัดความเผ็ดของพริก เดิมคือ สโควิลล์ (Scoville) โดยพริกขี้หนูสวนของไทยจะมีค่าความเผ็ดอยู่ที่ 50,000-100,000 สโควิลล์(Scoville)  และพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊ก(Guinness Book of World Records) ว่า เป็นพริกเผ็ดที่สุดในโลก คือ พริกฮาบาเนโร(Habanero Pepper) วัดค่าได้สูงถึง 350,000 สโควิลล์(Scoville) หรือมากกว่านั้น


20 ข้อดีของพริก ที่ซี๊ดดีต่อสุขภาพ

พริกอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ มากมาย อาทิเช่น วิตามิน A วิตามิน B6 วิตามินC โพแทสเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และใยอาหาร เป็นต้น คุณรู้หรือไม่ว่าพริกปริมาณ 100 g. จะมีวิตามิน C สูงถึง 144 mg. เลยทีเดียว จึงถือได้ว่า พริกเป็นแหล่งวิตามินชั้นดีเลยทีเดียว

  1. บรรเทาความเจ็บปวด มีการสกัดเอาสารแคปไซซิน (Capsicin) ในพริก ให้อยู่ในรูปของเจล ครีม หรือขี้ผึ้ง ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดบริเวณผิวหนัง เช่น น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ งูสวัด ปวดเมื่อยตามตัว สารแคปไซซิน (Capsicin) ในพริก จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของเราหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน(Endorphin) สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ตามธรรมชาติ
  2. พริกมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidants) ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย
  3. กระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน(Endorphin) ออกมา ในขณะเดียวกันสารแคปไซซิน(Capsicin) ในพริกช่วยให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย อารมณ์ดี และมีความสุขขึ้น
  4. วิตามิน C ในพริกช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน(collagen) ในร่างกายได้
  5. ในพริกอุดมไปด้วย วิตามิน A วิตามิน C รวมถึงเบต้าแคโรทีน(Beta Carotene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidants) ที่มีสรรพคุณในการบำรุงและป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตา
  6. ช่วยลดสารที่มากีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการเป็นไซนัส ไข้หวัด หรือโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ
  7. ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน หรือโรคลักปิดลักเปิด
  8. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น
  9. ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่าเมื่อเรากินพริกเข้าไป จะมีน้ำมูก น้ำตาไหลออกมา นั่นเป็นเพราะรสเผ็ด และสารก่อความร้อนในพริก จะช่วยลดปริมาณน้ำมูก และสิ่งกีดขวางในทางเดินระบบหายใจ ทำให้จมูกโล่งหายใจสะดวกขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดอาการคัดจมูกได้อีกด้วย
  10. ช่วยละลายเสมหะ ขับเสมหะ และบรรเทาอาการไอ
  11. วิตามิน C ในพริก มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร และช่วยสร้างคอลลาเจน และยังมีเบต้าแคโรทีน(Beta Carotene) ในพริก สารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidants) ที่สามารถลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้
  12. ควบคุมคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ให้คงที่และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์(Triacylglycerol) ในเลือดลดลง
  13. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด พริกมีคุณสมบัติในการยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคส(Glucose) ได้ ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลง
  14. ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ พริกจะช่วยละลายลิ่มเลือด ลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไม่จับตัวกันเป็นก้อนจนอุดตันหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดและหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง
  15. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว
  16. สารแคปไซซิน(Capsicin) ในพริก มีฤทธิ์ในการยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือดได้ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น เบต้าแคโรทีน(Beta Carotene) และวิตามิน C ยังช่วยให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น ลดอาการหลอดเลือดตีบและหลอดเลือดอุดตัน
  17. ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดบริเวณผิวหนัง เช่น น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ งูสวัด เป็นต้น (ในด้านการแพทย์ ได้มีการสกัดเอาสารแคปไซซิน(Capsicin) ในพริกออกมาในรูปแบบเจลหรือครีม)
  18. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ในพริกอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และทองแดง ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี รวมถึงมีกรดโฟลิก(folic acid) ที่ช่วยเสริมให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแข็งแรงยิ่งขึ้น
  19. ช่วยให้เจริญอาหาร พริกจะกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลาย และกระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้ความอยากอาหาร
  20. ช่วยลดน้ำหนัก สาร thermogenic ซึ่งเป็นสารก่อความร้อนในร่างกายที่อยู่ในพริก ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญได้ดี นอกจากนี้ กรดแอสคอร์บิก(ascorbic acid) ยังช่วยเร่งให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานได้ จึงทำให้เราลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น

เผลอกินเผ็ดเกินไป มีวีธีแก้เผ็ดอย่างไร?

การดื่มน้ำเปล่าจะช่วยเพียงบรรเทาอาการแสบร้อนให้ลดลงเท่านั้น แต่ความเผ็ดยังคงอยู่เหมือนเดิม หากต้องการลดความเผ็ดร้อนของพริกที่กินเข้าไป ควรเลือกกินอาหารที่มีไขมัน หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่

ขอขอบคุณข้อมูล sanook.com
เรียบเรียง : คอร์ดี้ไทย (ถั่งเช่า ม.เกษตร)
ภาพ : hellomagazine.com

20 ข้อดี ของพริก นอกจากจะ “เผ็ด” สะใจแล้ว ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย