ภูมิแพ้,โรคภูมิแพ้,รักษาภูมิแพ้,อาการ

โรคภูมิแพ้ คือหนึ่งในโรคฮิตของคนส่วนมากในสังคม โดยเฉพาะผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เมืองกรุงที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและมลพิษ หากว่าพบคนสิบคนเดินเข้าร้านขายยา กล่าวกันว่าแปดในสิบคนมักจะซื้อยาที่เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ซึ่งผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยอาการของโรคหรือผลข้างเคียงของตัวยาที่ใช้ เช่น ทำให้มีอาการง่วงนอน ปากแห้ง คอแห้ง หรือการเต้นของหัวใจถูกรบกวน

หลายท่านมักจะประสบปัญหากับผลข้างเคียงของยาที่ทำให้จมูกโล่ง คือ มีอาการกระวนกระวาย ใจสั่น นอนไม่หลับ หรืออาจมีอาการทางจิตประสาท ซึ่งวิธีแก้ปัญหาอาการเหล่านี้ในมุมมองการรักษาแผนปัจจุบันคือการรับประทานยา หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ และการไปพบแพทย์

ภูมิแพ้” เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันขาดความสมดุล ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันเป็นระบบที่มีกลไกซับซ้อน หากมีสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรค แบคทีเรีย รา ไวรัส หรือเนื้อเยื่อที่มีการฟกช้ำจากการบาดเจ็บ ระบบภูมิคุ้มกันจะไปกระตุ้นให้เซลล์มีการหลั่งสารเคมีบางชนิดขึ้นมาเพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น มีการสั่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำการฆ่าเชื้อโรค กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาบริเวณนี้มากขึ้น ทำให้อุณหภูมิบริเวณดังกล่าวสูงขึ้น จึงมีอาการบวมที่เรียกว่าอาการอักเสบ (Inflammation) แต่หากเมื่อสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวหายไปแล้ว แต่ระบบภูมิคุ้มกันยังทำงานอยู่ เข้าใจว่าสารปกติธรรมดาเป็นสิ่งแปลกปลอม นั่นจะทำให้อาการอักเสบยังคงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณในหู ลำคอ จมูก และระบบทางเดินหายใจ คือมีอาการบวม แดง ร้อน และหายใจลำบาก ซึ่งเป็นผลให้กลายเป็นโรคหอบหืด

อันดับแรกต้องเช็คชุดเครื่องนอนของเราก่อนว่าเป็นที่สะสมของฝุ่นหรือไม่ อาจจะนำชุดเครื่องนอนไปตากแดดบ่อยๆ อาทิตย์ละครั้ง เช็คตัวเองว่ามีอาการแพ้อาหารชนิดไหนบ้าง หากรับประทานเข้าไปแล้วมีผื่นคัน มีอาการหอบ ก็ควรหลีกเลี่ยง และไม่ควรปล่อยให้มีการสะสมของเสียในลำไส้ หมั่นรับประทานอาหารที่มีเส้นใยเพื่อช่วยกวาดของเสียออกไปกับการถ่ายอุจจาระ

นอกจากการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยแล้ว การรับประทานอาหารที่เป็นสมุนไพรก็สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ เช่น หอมหัวแดง ซึ่งเป็นสมุนไพรในครัวเรือนที่ใช้รักษาโรคหวัดได้ โดยรับประทานหอมหัวเล็กวันละ ½ – 1 หัว จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ต้านทานต่อโรคหวัดได้ แต่ควรระวังเพราะตามตำราจีนระบุว่าไม่ควรรับประทานเกินวันละ 3 หัว (หัวขนาดเท่านิ้วมือ) เพราะอาจทำให้มีอาการมึนงง หลงลืมง่าย และรากผมไม่แข็งแรง

ปัจจุบันพบว่าในหอมหัวแดงมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ที่ชื่อ เคอซิติน (Quercitin) ที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายกับ โครโมลินโซเดียม (Cromolyn sodium) ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันที่มักนำมาใช้รักษาโรคภูมิแพ้และอาการหอบหืด โดยสารในกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์นั้นมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งตัวอนุมูลอิสระนี้เป็นเสมือนเชื้อเพลิงที่ทำให้อาการอักเสบนั้นรุนแรงขึ้น ดังนั้นการรับประทานผักที่มีสีส้ม สีแดง ก็สามารถกำจัดอนุมูลอิสระ และช่วยลดอาการแพ้ได้

ขมิ้นชัน ก็เป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ได้ดีเช่นกัน การรับประทานหากจะรับประทานเพื่อป้องกันโรคภูมิแพ้ก็ใช้ผงขมิ้นชัน 500 – 1000 มิลลิกรัม (1 – 2 แคปซูล) วันละ 2 – 3 ครั้ง ถ้าหากมีอาการควรรับประทานเพิ่มขึ้นเป็น 2 กรัม (ประมาณ 4 แคปซูล) วันละ 3 ครั้ง จากรายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ และสามารถต้านการอักเสบ รวมไปถึงต้านทานฮีสตามีนได้อีกด้วย

และสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่คนไทยในอดีตนิยมใช้เพื่อแก้อาการหอบหืด แก้ไอ แพ้อากาศ แก้หวัด ก็คือลูกยอ วิธีรับประทานก็คือรับประทานสด หรือนำลูกยอสุกมาจิ้มเกลือ หรือบดเป็นผงชงกินกับน้ำร้อนครั้งละประมาณ 1 ช้อนชา วันละ 3 เวลา หรืออาจนำไปปั่นกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทราไทยรับประทานวันละ 3 เวลาก็ได้

นอกจากนี้ยังมีการแนะนำให้ใช้ ขิง ชาเขียว ชะเอม น้ำมันปลา ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดการอักเสบในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้อีกด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันที่ 13 ธ.ค. 56
ภาพ : thaihealth.or.th

เรื่องที่น่าสนใจ : 

ถั่งเช่า คอร์ดี้ไทย CordyThai ม.เกษตร เหมาะสำหรับ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ, หอบหืด

 

 

“ภูมิแพ้” โรคยอดฮิตติดอันดับของคนเมือง